ประเพณีทอดกฐิน วัดกระบังมังคลาราม
ประเพณีทอดกฐิน ถือเป็นกาลทาน ที่เป็นประเพณีสำคัญของพุทธศาสนิกชนอย่างหนึ่ง โดยมีระยะเวลา 1 เดือน หลังจากวันออกพรรษาคือวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ไปจนถึงกลางเดือน 12
การทอดกฐินเป็นประเพณีอันดีงามของชาวพุทธที่ศาสนิกชนปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลายาวนานกว่า 2,500 ปี กำเนิดขึ้นเมื่อครั้งที่พระภิกษุชาวเมืองปาไฐยรัฐออกเดินทางไกล เพื่อไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ วัดพระเชตวัน พระภิกษุเหล่านั้นมีจีวรที่เปรอะเปื้อนเปียกชุ่ม และเปื่อยขาดด้วยความเก่า พระบรมศาสดาจึงทรงมีพุทธานุญาตให้ภิกษุอยู่จำพรรษารับผ้ากฐินได้หลังออกพรรษา เพื่อนำมาผลัดเปลี่ยนผ้าเก่า ประเพณีทอดกฐินได้เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งนั้นและสืบทอดมาจนกระทั่งปัจจุบัน
การทอดกฐินเป็นบุญที่มีอานิสงส์มหาศาล
บุญจากการทอดกฐินเป็นบุญพิเศษ ที่ทำได้ยากกว่าบุญอื่น ด้วยสาเหตุหลายประการ ดังนี้ คือ การทำบุญทอดกฐิน เป็นบุญที่ถูกจำกัดด้วยไทยธรรม กล่าวคือ ของที่ถวายต้องเป็นผ้าผืนใดผืนหนึ่งในจำนวนไตรจีวรเท่านั้น1.) จำกัดด้วยเวลา คือต้องถวายภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันออกพรรษา
2.)จำกัดชนิดทาน คือ ต้องถวายเป็นสังฆทานเท่านั้น จะถวายเจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเหมือนทานอื่นไม่ได้
3.)จำกัดคราว คือ แต่ละวัดรับกฐินได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
4.)จำกัดผู้รับ คือ พระภิกษุรับกฐินได้จะต้องจำพรรษาที่วัดนั้นครบไตรมาส (3 เดือน) และจะต้องมีจำนวนตั้งแต่ 5 รูปขึ้นไป
5.)จำกัดงาน คือ เมื่อพระภิกษุรับผ้ากฐินแล้ว จะต้องกรานกฐินให้เสร็จภายในวันนั้น
6.)จำกัดของถวาย คือ ไทยธรรมที่ถวายต้องเป็นผ้าผืนใดผืนหนึ่งในไตรจีวรเท่านั้น โดยทั่วไปนิยมใช้สังฆาฏิ ไทยธรรมอื่นจัดเป็นบริวารกฐิน เกิดจากพุทธประสงค์ พระสัมมาสัมมาพุทธเจ้าทรงมีพุทธานุญาตให้พระภิกษุสงฆ์รับผ้ากฐินเพื่อพลัดเปลี่ยนไตรจีวรเก่า แต่ทานอย่างอื่นทายกทูลขอให้อนุญาต เช่น มหาอุบาสิกาวิสาขาทูลขออนุญาต ถวายผ้าอาบน้ำฝน
กฐินทาน คือ การถวายผ้าให้แก่พระภิกษุสงฆ์ผู้ได้ดำรงตนอยู่ในกรอบแห่งศีล สมาธิ(Meditation) และปัญญา ผ่านการอยู่จำพรรษาตลอดฤดูฝน ณ อารามใดอารามหนึ่ง นับว่าเป็นกาลทานอันยิ่งใหญ่ ย่อมก่อให้เกิดอานิสงส์มากมายแก่ผู้ทอดถวาย
คำว่า กฐิน แปลว่า สะดึง หมายถึง ไม้ที่ใช้สำหรับขึงผ้าให้ตึง มีทั้งรูปสี่เหลี่ยม และรูปวงกลม เมื่อขึงผ้าด้วยสะดึงแล้วจะทำให้เย็บผ้าได้ง่ายขึ้น แต่ในอีกความหมายหนึ่งนั้น หมายเอาผ้าจีวรที่ถวายแด่พระสงฆ์ที่อยู่ประจำอารามจนครบพรรษา คำว่า ทอดกฐิน จึงหมายถึง การน้อมนำผ้าจีวรมาวางทอดลง เพื่อถวายแด่ภิกษุสงฆ์ มิได้เจาะจงแก่ภิกษุรูปใด เทศกาลทอดกฐินจะเรียกอีกแบบ คือ ฤดูกาลเปลี่ยนผ้าใหม่ของพระภิกษุ โดยในอดีตกาล ยุคต้นที่พระพุทธศาสนาเริ่มบังเกิดขึ้น ผ้าที่ภิกษุได้มานั้นเป็นผ้าที่ไม่มีเจ้าของหรือผ้าที่เขาทิ้งแล้ว เช่น ผ้าห่อศพในป่าช้า หรือผ้าที่เขาทิ้งไว้ตามกองหยากเยื่อ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะผ้าในยุคนั้นเป็นของมีค่าหาได้ยาก การที่ภิกษุแสวงหาผ้าที่ไม่มีผู้หวงแหน นำมาใช้นุ่งห่ม จึงแสดงถึงความสันโดษมักน้อยของนักบวชผู้มุ่งแสวงหาทางหลุดพ้น
อีกประการหนึ่ง จะได้ไม่เป็นที่หมายปองของพวกโจร จะได้ไม่ถูกขโมยหรือถูกโจรปล้นชิงไป เพราะผู้คนในสมัยนั้น รังเกียจผ้าผุปะหรือผ้าเก่าๆ ถือว่าเป็นผ้าเสนียด จึงไม่มีใครอยากได้ แต่มาภายหลังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุรับผ้าที่คหบดีนำมาถวายได้ เนื่องจากหมอชีวกได้กราบทูลเพื่อที่จะถวายผ้าแด่พระภิกษุ เพราะเห็นว่าพระภิกษุทั้งหลายมีความลำบากในการแสวงหาผ้าเป็นอย่างยิ่ง
อีกประการหนึ่ง จะได้ไม่เป็นที่หมายปองของพวกโจร จะได้ไม่ถูกขโมยหรือถูกโจรปล้นชิงไป เพราะผู้คนในสมัยนั้น รังเกียจผ้าผุปะหรือผ้าเก่าๆ ถือว่าเป็นผ้าเสนียด จึงไม่มีใครอยากได้ แต่มาภายหลังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุรับผ้าที่คหบดีนำมาถวายได้ เนื่องจากหมอชีวกได้กราบทูลเพื่อที่จะถวายผ้าแด่พระภิกษุ เพราะเห็นว่าพระภิกษุทั้งหลายมีความลำบากในการแสวงหาผ้าเป็นอย่างยิ่ง
จีวรที่พระภิกษุใช้สอยกันในสมัยก่อนนั้น จะต้องวัดแต่ละชิ้นให้ได้สัดส่วน แล้วทำการตัดเย็บและย้อมเองซึ่งเป็นเรื่องยากและลำบากอย่างยิ่งสำหรับพระภิกษุ โดยวัสดุที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้นำมาย้อมผ้าจีวรได้ คือ
1.รากไม้
2.ต้นไม้
3.ใบไม้
4.ดอกไม้
5.เปลือกไม้
6.ผลไม้สีของจีวรที่นิยมนำมาทำเป็นผ้ากฐิน
สีที่นิยมใช้ คือ สีเหลืองเจือแดง สีเหลืองหม่น หรือสีกรัก
ส่วนสีที่ห้ามใช้ได้แก่ สีคราม สีเหลือง สีแดง สีบานเย็น สีแสด สีชมพู และสีดำ
การทำบุญทอดกฐินและการถวายผ้ากฐิน สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดำริขึ้นด้วยพระองค์เอง
พระพุทธองค์ทรงตรัสถามภิกษุเหล่านั้นในเรื่องความเป็นอยู่และสุขภาพร่างกายว่า “จำพรรษากันผาสุกดีอยู่หรือ ทะเลาะวิวาทกันบ้างหรือไม่ อาหารบิณฑบาตพอยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ”
ภิกษุทั้งหลายได้ทูลตอบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “จำพรรษาด้วยความผาสุก พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้ ยังมีความพร้อมเพรียงกัน ไม่ทะเลาะวิวาทกันและไม่ลำบากด้วยอาหารบิณฑบาต”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นจีวรของภิกษุทั้งหลายเก่าและขาด จึงทรงมีพุทธานุญาตให้รับผ้ากฐินได้ แต่ต้องอยู่ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือนหลังจากออกพรรษาแล้ว โดยให้ภิกษุที่ได้รับผ้ากฐินแล้วได้อานิสงส์ 5 ประการ คือ
อานิสงส์ในสมัยพุทธกาล
ในครั้งศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า มาอุบัติในโลก มีบุรุษเข็ญใจ ไร้ญาติพี่น้องทั้งทรัพย์สินเงินทอง ก็ขาดแคลนอาศัยเลี้ยงชีพอยู่ในเมืองพาราณสี ไปหาสิริธรรมมหาเศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ แล้ววิงวอนขออยู่เป็นลูกจ้าง ท่านเศรษฐี มีความสงสารจึงถามว่ามีความรู้อะไรบ้าง บุรุษเข็ญใจบอกว่า ข้าพเจ้าไม่มีความรู้อะไรเลย มีแต่กำลังกายเท่านั้น ท่านเศรษฐีกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงไปรักษาหญ้าเราจะให้ข้าววันละหม้อตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา บุรุษก็รักษาหญ้าจนมีชื่อว่า ติณณปาละ อยู่มาวันหนึ่ง ติณณปาละมาคิดว่าตัวเรานี้ ในชาติปางก่อนคงจะไม่ได้ทำบุญกุศล อันใดไว้เลย มาถึงชาติ นี้เราจึงได้ลำบากยากแค้น แม้แต่อาหารจะรับประทานไปวันหนึ่งๆ ก็ทั้งยาก แต่นี้ต่อไปเราจะต้องขวนขวายให้ทานทุก ๆ วัน เมื่อมี ความตั้งใจ อย่างนี้แล้ว ก็แบ่งอาหารออกเป็น ๒ ส่วน ๆ หนึ่ง ถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ อีกส่วนหนึ่งไว้บริโภคเองทำอย่างนี้มาตลอดทุก ๆ วันมิได้ขาด ด้วยอำนาจบุญกุศล ที่ติณณปาละทำนั้น ก็ทราบไปถึงสิริธรรมเศรษฐีผู้เป็นนายจ้างจึงสั่งให้เพิ่มอาหารขึ้นอีกเป็น ๓ ส่วน ติณณปาละ ก็แบ่งออกไปอีกเป็น ๓ ส่วน ส่วนหนึ่ง ถวายภิกษุสามเณร อีกส่วนหนึ่งให้แก่ยาจก อีกส่วนตนเก็บไว้บริโภค ทำอยู่อย่างนี้เป็นลำดับมา
จนถึงฤดูออกพรรษาประชาชน และท่านสิริธรรมเศรษฐี ได้พากันทำกฐินทาน เพื่อจะถวายแก่ภิกษุสงส์ ผู้อยู่จำพรรษาด้านไตรมาส สามเดือน ติณณปาละได้ทราบข่าวดังนี้แล้ว ก็เข้าไปหาสิริธรรมเศรษฐีถามถึง อานิสงส์ผลของกฐินทานว่า การถวายทานอย่างนี้ คงจะมี ผลเป็นอันมาก เพราะประชาชน ไม่นิ่งนอนใจ ช่วยกันหลายคนเศรษฐีบอกถึงคุณานุภาพ ของกฐินทานโดยละเอียดจนติณณปาละเกิดศรัทธาแก่กล้า ก็ถามว่าอีกเมื่อไรจะถึงกำหนดถวาย เศรษฐีบอกว่าอีก ๗ วัน
ติณณปาละก็กลับไปสู่ที่อยู่ของตน ก็คิดว่าจะนำของไปเห็นวัตถุทานก็ไม่มี เห็นอยู่แต่ผ้านุ่งผืนเดียวเท่านั้น ที่จะนำเข้าเป็นส่วนกฐินทานได้ เมื่อจะเปลื้องผ้า ออกทาน ตัวกิเลสคือความตระหนี่เหนียวแน่น ก็มากั้นไว้ถ้าสละผ้าผืนนั้นแล้วเราจะไหนนุ่ง มีอยู่ผืนเดียวเท่านี้ ผลที่สุดก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่าเราจะต้อง ถวายแน่ ก็เปลื้องผ้ามาทำการซักฟอก และย้อมด้วยน้ำฝาดตนเองก็เอาใบไม้มานุ่ง ป้องกันความอายเท่านั้น แล้วรีบนำผ้าไปหาเศรษฐี มอบอนุโมทนาผ้านั้น เข้าเป็นส่วนบริวารของกฐินนั้น เศรษฐีก็รับอนุโมทนา นำผืนของติณณปาละ เข้าเป็นส่วนผ้าบริวาร ซึ่งยังขาดอยู่ผืนหนึ่งแล้วนำไปถวายแก่พระภิกษุสงฆ์
เสียงโกลาหลก็บังเกิดขึ้นในขณะนั้น ด้วยเสียงสาธุการของเทวดา ทั่วทั้งอากาศและปฐพี พระมหากษัตริย์ได้ทรงสดับเสียงนั้นแล้ว ก็ตกพระทัย กลัวว่าจะมีมรณภัย มาถึงพระองค์รับสั่งให้หาปุโรหิต แล้วตรัสถามถึงเหตุโกลาหลอื้ออึงนั้น
ในครั้งนั้นมีเทวดาองค์หนึ่ง ที่รักษาอยู่เศวตฉัตรจึงกล่าวว่า ดูกรมหาบพิตรเสียงโกลาหลอื้ออึ้งนั้น มิใช่ว่าจะมีภัยมาถึงพระองค์ นั้นเป็นเสียง ของเทวดาทั้งหลาย ในหมื่นโลกธาตุ ได้สาธุการส่วนบุญของติณณปาละเป็นคนเข็ญใจ รักษาไร่หญ้าของเศรษฐี ได้เปลื้องผ้านุ่งของตนออกมา เข้าส่วนกฐินทาน พระองค์อย่าตกพระทัย ไปเลย พระราชาทรงทราบเช่นนั้นก็ทรงปีติยินดี รับสั่งให้หาติณณปาละ พร้อมทั้งส่งผ้าสาฏกคูหนึ่ง ราคาผืนละหนึ่งแสนกหาปณะไปพระราชทาน นายติณณปาละ ก็นุ่งสาฎกเข้าเฝ้าพระราชา ครั้นพระราชาทรงขอซื้อส่วนกุศล ด้วยทรัพย์มีประมาณพันหนึ่ง จนทวีขึ้นเป็นลำดับจนถึงแสนกหาปณะ ติณณปาละ ก็ไม่ขาย ให้ตามพระประสงค์ได้ จึงกราบทูล จะทรงซื้อด้วย
ทรัพย์นั้นไม่ได้ พระเจ้าข้าถ้าหากพระองค์ จะอนุโมทนาส่วนบุญนี้ได้อยู่พระเจ้าข้า พระราชามีความยินดี เป็นอย่างยิ่งให้คนดีฆ้องร้องประกาศ ตลอดทั้งพระนคร แล้วพระราชทาน ช้าง ม้า โค กระบือ ข้าทาส ชายหญิงอย่างละหนึ่งร้อย บูชาแก่ติณณปาละเป็นอันมาก แล้วตั้งไว้ ในตำแหน่งเศรษฐี ส่วนพ่อค้าคฤหบดีเศรษฐี ก็พากันสละทรัพย์เป็นจำนวนมาก ออกบูชาคุณติณณปาละเป็นสมบัติมากมาย ที่ติณณปาละ ได้แล้วก็ด้วย บุญกุศลเจตนาอันแรงกล้า จึงเป็นผลสำเร็จให้ผลทันตา เห็นในปัจจุบันชาติ ครั้นติณณปาละทำกิริยาตายแล้ว ก็ไปเกิดในดาวดึงส์สวรรค์
ครั้นถึงพระศาสนาของพระศรีอริยเมตไตรย์ สัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัส ติณณปาละเทวบุตร ก็จะจุติลงมาอุบัติเป็นราชโอรส แห่งนครมัณฑาลวดี ครั้นต่อมา เสวยราชสมบัติแทนพระราชบิดา อยู่ ๔ หมื่นปีแล้วออกบวชเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา สำเร็จพระอรหันต์องค์หนึ่ง ของพระศรีอริยเมตไตรย์ มีนามว่าติณณปาละเถระ ดังนี้เป็นต้น ตสฺมา สาธโว
เมื่อสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายที่ทราบรู้เหตุรู้ผลของการถวายผ้ากฐินทานว่ามีอานิสงส์อย่างไรแล้วก็ขออย่าให้ท่านทั้งหลาย
จงอย่าเป็นผู้ประมาท ในเมื่อถึงคราว กาลสมัยที่จะถวายก็ควรจะถวายก็ควรทำจะเป็น ของมากน้อยอย่างไรไม่สำคัญ
สำคัญอยู่ว่าให้ทำ และทำด้วยศรัทธาอย่างจริงจัง แล้วตั้งความปรารถนาของตน ไว้ด้วยดี มิใช่ว่าทำเห็นแต่หน้าหา
ความศรัทธามิได้ ทรัพย์ที่เราสละไปก็จะไม่ได้ผลเต็มที่ ถ้าเราทำด้วยความเต็มใจแล้วถึงแม้จะน้อยก็ย่อมมีอานิสงส์ มากดังเรื่องติณณปาละ
อานิสงส์กฐินสำหรับพระ
1.เที่ยวไปสู่ที่สงัด เพื่อแสวงหาที่ปฏิบัติธรรมได้ตามสะดวก โดยไม่ต้องบอกลา
2.เที่ยวไปได้ โดยไม่ต้องนำผ้าไตรจีวรไปครบสำรับ
3.ฉันคณะโภชนะได้ คือ ฉันภัตตาหารร่วมโต๊ะหรือร่วมวงฉันด้วยกันได้
4.ทรงอดิเรกจีวรได้ตามปรารถนา คือ รับผ้าจีวรได้มากผืน
5.จีวรที่เกิดขึ้น ณ ที่นั้นจักได้แก่พวกเธอ คือ หากได้ผ้าจีวรมาเพิ่มอีก ก็สามารถเก็บไว้ใช้ได้ไม่ต้องเข้าส่วนกลาง
ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคี วัดระบังมังคลาราม ตำบลหอกลอง อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก วันอาทิตย์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕
เนื่องด้วยวัดกระบังมังคลาราม ตำบลหอกลอง อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก เป็นอารามเก่าแก่ ก่อสร้างมานาน ขณะนี้ได้ชำรุดทรุดโทรมไปตามการเวลา ประธานใหญ่ คือ คุณแม่เจริญ พรามพิทักษ์ ได้พร้อมใจกันจัดกฐินสามัคคีไปทอดถวาย เพื่อรวบรวมปัจจัยสมทบทุนบูรณะเสนาสนะ มีโบสถ์ และเจดีย์ ให้กลับคืนสภาพ เป็นสถานที่ควรแก่การบำเพ็ญ บุญกุศลสืบต่อไป จึงใคร่ขอเชิญชวนท่านผู้มีจิตศรัทธาร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคีในครั้งนี้โดยทั่วกัน.
ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และบุญกุศลที่ท่านได้บำเพ็ญในครั้งนี้ จงเป็นพละปัจจัยโปรดอำนวยพรให้ท่านพร้อมทั้งครอบครัว ประสบสิริสวัสดิ์พิพัฒนานุภาพกอปรด้วย ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ และเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย คือ อายุ วรรรณะ สุขะ พละ ปฎิภาณ ธนสารสมบัติ ในที่ทุกสถาน ตลอดกาลทุกเมื่อ เทอญ
กำหนดการ
วันเสาร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕
เวลา ๑๕.๐๐ น. - ตั้งองค์กฐิน
เวลา ๑๘.๐๐ น. - เจริญพุทธมนต์เย็น
เวลา ๑๙.๐๐ น. - แสดงพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์
วันอาทิตย์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕
เวลา ๐๗.๓๐ น. - ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์
เวลา ๐๙.๐๐ น. - ประกอบพิธีถวายผ้ากฐินฯ
- ผู้ร่วมงานรับประทานอาหารร่วมกัน เสร็จพิธีฯ
ประธานการทอดกฐิน
คุณแม่เจริญ พรามพิทักษ์
รองประธาน
คุณมานิตย์ คุณวาลีย์ พรามพิทักษ์ (ดำเนินการ) คุณวิเชียร ลิ้มเฮงสิน คุณศิริรัตน์
พรามพิทักษ์
ประธาน
สายพรหมพิราม
คุณถุงเงิน
ชาญนาวา
ประธาน
สายท่าพร้าว
คุณพ่อทองม้วน
คุณแม่ทับทิม อินทรเทศ
รองประธาน
คุณบุญธรรม คุณสุวดี วิรินโรจน์จรัญ
คุณสุธี คุณศิริกร สมบัติเจริญ
ประธาน
สายบริษัท KLOXLEY สนามบินสุวรรณภูมิ
ร.ต.อ.บริสุทธิ์
น.ส.เพ็ญนภา จักดา
รองประธาน
คุณกองใจ จักดา คุณจิตฤดี แสงงาม คุณวันนา คุณนิศา คุณพิชากานต์ ฤชา
ประธาน สายปราจีนบุรี
บริษัทไฮเออรี่อิเล็คทริคประเทศไทยจำกัด
คุณกีบ คุณน้ำเชื่อม นาคขำ (ผู้ดำเนินการ) คุณอำนาจ คุณบงกช ด.ช.ภูตะวัน แหวนโคตรสูง คุณวศาพร บุนรอด คุณสมาน นาคสูงเนินคุณวันนา
คุณนิศา คุณพิชากานต์ ฤชา ด.ช.วรินทร์ธร ด.ช.วรฤทธิ์ นาคสูงเนินคุณสุกัญญา คุณพธิตา
ด.ช.สหวิทย์ หวังอารีย์ คุณบุญชู คุณสุชิน
อิสระ และครอบครัว คุณชาญ คุณจำนอง
เชื้อสูง ด.ช.ชัยวัตย์ เชื้อสูง คุณเกษม
คุณเทียรจันทร์ สุขศิริ คุณแม่ทอง
คุณวัญเพ็ญ คุณหนุ่ม นาคขำ คุณวีรศักดิ์
คำสุมาลี และครอบครัว คุณจักรี
คุณเกศร โฑนผลิน คุณนพดล คุณจราวัลย์
จิตติชัยมงคล คุณบุญเชิด คุณองุ่น
พุ่มคำ คุณธีรพงษ์
อุ่นฤดี และครอบครัวคุณสมป้อง คุณฉลวย คุณศิริวุติ ทองน้อยคุณสมคิดนาคสีเขียว
และครอบครัว คุณสำรวย อ่อนเอี่ยม และครอบครัว คุณบุญเจริญ ศรีเล็ก คุณแดง ณ โคกปีป คุณวาสนา สกุลสังข์ และครอบครัว คุณจำรัส จั่นจำรูญ อุทิศให้พ่อสุวรรณ คุณชาญณรงค์
ขนขจี และครอบครัว คุณขัวญเรือน
สังข์เผือก และครอบครัว คุณไสว
กล่อมบรรจง(k) /ครอบครัว คุณบุษราภรณ์
นิวิต คุณภาคภูมิ ยอดมา และครอบครัวคุณยุทธนา ศิริปะกะ คุณสมศักดิ์ ทองพุ่มคุณสุพัด
ภูมิพะนา พร้อมครอบครัว คุณวันชัย จันทรทรง คุณพ่อประเสริฐ
คุณแม่ยุพิน ติระพันธ์ คุณบุญรอด ฆ้องสะท้อน และครอบครัว คุณศักดา คุณสายฝน พละการคุณสรศักดิ์
สิงห์ชุมพร และ คุณแม่ไข คุณไสว
แก้วคำกอง
รองประธาน
คุณดิเรก ขวัญอยู่
ประธาน
สายระยอง
คุณแม่ทอง
นาคขำ คุณรุ่ง คุณวรรณเพ็ญ ด.ญ.ภัคชนก สุดเสือ
รองประธาน
คุณสิทธิพล คุณศิริรัตน์ น.ส.ทัศณีย์
นาคขำ คุณโสน ม่วงจอม